วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลการเดินทาง


การเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น
   ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยต้องขอรับการตรวจลงตรา (visa) ประเภทที่ถูกต้องก่อนเข้าญี่ปุ่น ยกเว้นผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ การเดินทางโดยเครื่องบินตรงจากประเทศไทยไปญี่ปุ่น (กรุงโตเกียว) ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง



หนังสือเดินทางและวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น
   หนังสือเดินทางมีอายุที่ใช้งานมากกว่า 6 เดือน ดูรายละเอียดการทำหนังสือเดินทางได้ที่ http://www.consular.go.th/ ขอวีซ่าจากสถานทูตญี่ปุ่นโปรดเตรียมเอกสารหลักฐานที่ระบุไว้ในการขอวีซ่า และกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วนเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ทราบผลวีซ่าอย่างเร็วใน 5 วันทำการหรือมากกว่า โปรดเผื่อเวลาในการยื่นวีซ่า ไม่ควรยื่นใกล้วันเดินทางอย่างกระชั้นชิด โปรดสอบถามได้ที่สถานทูตฯ ญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ หรือสถานกงสุลญี่ปุ่นประจำเชียงใหม่

ยื่นขอวีซ่าได้ที่
กรุงเทพฯ
ศูนย์รับยื่นขอวีซ่า JVAC (Japan Visa Application Center) 
การรับยื่นคำร้อง : วันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 น. ถึง 17:30 น. (ไม่มีพักกลางวัน)
การคืนหนังสือเดินทาง : วันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 น. ถึง 17:30 น. (ไม่มีพักกลางวัน) วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 น. ถึง 12:30 น.
ระยะเวลาดำเนินการ : อย่างน้อย 5 วันทำการนับจากวันที่รับยื่นคำร้อง (ยกเว้นวันเสาร์)
สถานที่ : ชั้น 15 ยูนิต C ตึกสีลมคอมเพล็กซ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทรศัพท์ : 02-632-1541-4
เวลาทำการ
วันจันทร์ - วันศุกร์ ระหว่างเวลา 8:30 - 17:30 น.
วันเสาร์ ระหว่างเวลา 8:30 - 12:30 น.
(คืนหนังสือเดินทางเท่านั้น)
ที่ทำการ: อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 15
(มีทางเชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง)
เลขที่ 191 ถ.สีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทรศัพท์: 02-632-1541

เชียงใหม่
สถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่
ที่อยู่: อาคารแอร์พอร์ต บิสซิเนสปาร์ค ห้อง 104-107 ถนนมหิดล
ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50100
โทรศัพท์ : 053-203367
ฝ่ายวีซ่า: เบอร์โทรศัพท์ติดต่อภายใน 101 (ภาษาญี่ปุ่น), 102 (ภาษาไทย)
โทรสาร: 053-203373
เวลารับคำร้องขอวีซ่า เวลายื่นคำร้องขอวีซ่า : 08:30-12:00 เวลารับวีซ่า : 13:00-16:00
วันหยุด วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด

การประกันภัยระหว่างการเดินทาง
     ท่านควรจะทำการประกันภัยระหว่างเดินทาง ก่อนออกเดินทางจากประเทศไทย กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุโดยทั่วๆ ไป จะครอบคลุมไปจนถึงทรัพย์สินส่วนตัวสูญหาย ค่ารักษาพยาบาลในกรณีเกิดบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย และประกันความเสี่ยงชนิดอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการเดินทาง

เสื้อผ้าที่ควรเตรียม
     ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง จะต้องเตรียมแจ๊กเก็ตและสะเว็ตเตอร์กันหนาว ฤดูร้อนให้เตรียมเสื้อผ้าบางเบา แขนสั้น ฤดูหนาว จำเป็นต้องมีเสื้อคลุมโอเวอร์โค๊ต ชุดผ้าขนสัตว์และแจ๊กเก็ตชนิดหนาเป็นพิเศษ ตลอดจนสะเว็ตเตอร์สำหรับฤดูหนาวไม่ค่อยจำเป็น ที่จะต้องนำเสื้อผ้าสำหรับใช้อย่างเป็นพิธีรีตองหรือพิธีการ จำพวกทักซิโดและเสื้อราตรี หากเกิดความจำเป็นก็มีร้านให้เช่า  ถุงเท้าสะอาดและสมบูรณ์เป็นสิ่งจำเป็น เพราะว่ามีบ่อยครั้งที่ท่านจำเป็นจะต้องถอดรองเท้าออก เช่นตามภัตตาคารญี่ปุ่นบางแห่ง หรือเมื่อก้าวเข้าบริเวณ ชานหน้าบ้านของชาวญี่ปุ่น ก่อนเข้าห้องรับแขก

การนำเข้าสิ่งของโดยปลอดภาษี
การนำเข้าสิ่งของโดยปลอดภาษี ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ประกอบอาชีพ สามารถนำเข้าไปในญี่ปุ่นได้โดยปลอดภาษี นอกจากนี้ ท่านยังสามารถนำเข้าโดยปลอดภาษี มีบุหรี่ 400 มวน ยาสูบ 500 กรัม หรือซิการ์ 100 มวน เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 3 ขวด น้ำหอม 2 ออนซ์ ตลอดจนของที่ระลึก ซึ่งตีราคารวมกันแล้วไม่ถึง 200,000 เยนหรือเทียบเท่า บุคคลที่อายุยังไม่ถึง 19 ปี และอายุเพียง 19 ปี ไม่อนุญาตให้นำเข้าบุหรี่หรือเครื่องดื่มมีอัลกอฮอล์ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จากเว็ปไซน์ http://www.narita-airport.jp/en/bf/step/arr.html#step5









อ้างอิง
http://www.biz.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=572463&Ntype=41
http://www.bkkfly.com/N_japan.html



แหล่งช้อปปิ้ง







1. ถนนทาเคชิตะ

      ถนนทาเคชิตะ สัญลักษณ์เมืองของวัยรุ่น ถนนนี้ยาวประมาณ 400 เมตรตั้งแต่หน้าสถานีรถไฟฮาราจูกุจนถึงถนนเมจิ

        มีร้านค้าตั้งอยู่เรียงราย ตั้งแต่ร้านขายของดารา ร้านเสื้อผ้ามือสอง ร้านแนวสตรีท ไปจนถึงร้านเครปชื่อดังเลยทีเดียว
ถนนทาเคชิตะได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนเมืองของวัยรุ่น และพลุกพล่านไปด้วยผู้คนเสมอไม่ว่าจะวันหยุดหรือวันธรรมดาก็ตาม



2. อาเมะโยโกะ

        หลักการของที่นี่คือ ของดีราคาถูกที่นี่มีร้านค้าเรียงรายกันแน่นขนัดกว่า 430 ร้าน ประกอบด้วยร้านขายอาหาร เครื่องสำอาง เสื้อผ้า เป็นต้น และเป็นที่รู้จักในนามของ อาเมะโยโกะคนที่มาช้อปปิ้งที่นี่จะสนุกสนานกับการสนทนากับคนขายไปด้วย ถือเป็นความเพลิดเพลินที่หาได้จากที่นี่เท่านั้นจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีสินค้าราคาไม่แพงจนเกินไป จึงเหมาะที่จะกว้านซื้อในคราวเดียวได้เลย



3. ชิบูย่า PARCO
        แหล่งกำเนิดแฟชั่นและศิลปะ ตึกแฟชั่นสัญลักษณ์ของชิบูย่า มีร้านค้าแบรนด์ดังของเหล่าดีไซน์เนอร์ที่แสดงในงานโตเกียวคอเลคชั่นซึ่งมีทั้งเสื้อผ้าแฟชั่นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี

        ที่ Part 1 ชั้น 7-8 เป็นชั้นรวมร้านอาหาร ส่วนชั้น 9 มีโรงละคร PARCO สามารถเพลิดเพลินไปกับการแสดงชื่อดังได้ นอกจากนี้ที่ Part 3 ยังมีโรงภาพยนตร์อีกด้วย






4.Ginza
         แหล่งร้านค้าแบรนด์เนมและโชว์รูมของสินค้าไฮเทคโนโลยีที่รู้จักกันทั่วโลก ถนนกินซ่าโดริ(Ginza Dori) สองฟากถนนเต็มไปด้วยห้องเสื้อทันสมัย แกลเลอรี่ศิลปะและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น มัตสึยะ(Matsuya) ที่ใหญ่สุดในระแวก มิตสึโคชิ(Mitsukoshi) ซึ่งอยู่ในกินซ่า 4 โจเมะ(Ginza 4-chome) อันเป็นย่านของคนคลั่งไคล้การช้อปปิ้ง มีสินค้าให้เลือกซื้อมากมาย ทั้งแฟชั่นและของแปลกๆจึงเป็นแหล่งรวมวัยรุ่น










อ้างอิง
http://nishina.in.th/topten-shopping-in-tokyo/




บ่อน้ำพุร้อน

            สถานที่อาบน้ำพุร้อนมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแร่ธาตุในน้ำ ให้คุณสมบัติใน การรักษาต่างกัน รวมถึงสีและกลิ่น ส่วนมากน้ำพุร้อนจะมีธาตุกัมมะถัน บ่อน้ำพุร้อนมีทั้งในร่มและกลางแจ้ง แต่ละที่เล็กใหญ่ต่างกันไป บ่อกลางแจ้งบางแห่งตั้งอยู่ระหว่างภูเขา หุบเขา หรือเลียบฝั่งแม่น้ำ มีทั้งแบ่งชายหญิงและบ่อรวม




บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง ซาวาดะ โคเอ็น (Sawada-koen Rotemburo Onsen)
          บ่อน้ำพุร้อนที่จะชมทัศนียภาพของธรรมชาติ ในขณะที่คุณกำลังแช่น้ำร้อนบ่อน้ำพุร้อน ซาวาดะ โคเอ็น
ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ซึ่งจะทำให้เพลิดเพลินไปกับการชมวิวของทะเลแปซิฟิค นอกจากนั้นแล้ว ที่นี่ยังเหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ตกดิน


สปาไวน์ ( Wine spa)
            สปาไวน์เป็นไวน์แดงจริง ตกแต่งด้วยขวดไวน์ใหญ่สูง 3.6 เมตร การลงแช่ในไวน์ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับร่างกาย กล่าวกันว่าพระนางคลีโอพัตราชื่นชอบในการอาบน้ำไวน์


สปาชาเขียว ( Green-tea spa )
         สปาชาเขียวมีส่วนผสมของชาเขียวอยู่จริง ตกแต่งด้วยกาน้ำชาขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น น้ำชานี้มาจากตีนเขาทันซะวะ และฮาโกเน่ ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นที่ที่มีอากาศเหมาะแก่การปลูกชา ชาที่ปลูกในแถบนั้นจะมีกลิ่นหอม และมีสารที่ช่วยป้องการการเกิดเนื้องอก เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี


สปากาแฟ (Coffee spa )
        สปากาแฟ เป็นสปาพิเศษที่หาได้แห่งเดียวที่ยูเนซัน เป็นกาแฟจริงที่นำมาทำให้เป็นน้ำพุร้อน กล่าวว่ากาแฟมีคุณสมบัติในการรักษาแผลเป็น และเพิ่มความงามให้กับผิวพรรณ และกลิ่นของกาแฟช่วยให้กระปรี้กระเปร่า


บ่อน้ำพุร้อน ชิราฮามะ (Onsen/Beach Combination Shirahama)
          เสน่ห์ในการผสมผสานระหว่างทะเลและบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บ่อน้ำพุร้อน ชิราฮามะซึ่งตั้งอยู่ในเมืองชายหาด ทางตอนใต้ของเมืองคันไซ สามารถดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาสัมผัส รวมถึงบรรยากาศความงดงามของทัศนียภาพรอบ ๆ เมือง อีกทั้งยังมีบ่อน้ำพุร้อนที่เปิดให้บริการฟรีบริเวณหาด 




บ่อน้ำพุร้อน ริมแม่น้ำทาคารากาว่า (Takaragawa Onsen)
           ชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้การแช่น้ำพุร้อน ขนานนามแหล่งน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดของประเทศ โดยคำว่า "ทาคารากาว่า" หมายถึง "แม่น้ำแห่งขุมสมบัติ" และด้วยความหลากหลายของพื้นหิน ที่ทอดขนานฝั่งแม่น้ำยาวกว่า 100 เมตร อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำ ที่จะช่วยรักษาความเหนื่อยล้า ความผิดปกติต่าง ๆ ทางระบบประสาทและระบบการย่อยอาหาร จึงทำให้ชื่อของ บ่อน้ำพุร้อนริมแม่น้ำทาคารากาว่า เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาด











อ้างอิง
http://www.oak.in.th/post/1396102609/onsen-in-japan

มรดกโลกประเทศญี่ปุ่น

       มรดกโลกที่สำคัญของญี่ปุ่นหลายแห่ง ล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย และอากาศที่ต่างกันไปในสี่ฤดู อย่างเช่น สวนอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะ ซึ่งทำให้ทุกคนระลึกถึงความสูญเสียในอดีต ในบรรดามรดกโลกทางประวัติศาสตร์ มีโบราณสถานหลายแห่ง ที่ได้รับอิทธิพลมาจากเอกลักษณ์เฉพาะของชาวญี่ปุ่นที่เที่ยงตรง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมีความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผู้มาเยือนเข้าใจลึกซึ้งถึงจิตใจของชาวญี่ปุ่น และรากฐานทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น




1. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ ชิระคะวะโกะ และโกคะยะมะ ในจ.กิฟุ
         ศิลปะสไตล์แกซโซ ( Gassho ) ในหมู่บ้าน Shirakawa และ Gokayama ในเมือง Toyama หลังคาจะมีรูปแบบเฉพาะตัวถูกออกแบบโดยองค์กรยูเนสโก ( UNESO) ในปี 1995 สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัวนี้ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อการอยู่รอดในฤดูหนาวซึ่งจะมีหิมะปกคลุมหนามากและเหมาะสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ซึ่งเป็นวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของคนที่นี่



2.อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าเกียวโต (เมืองฟูจิ และโอทจึ)
          เกียวโตซึ่งสร้างใน คริสต์ศักราช 794 (พุทธศักราช 1337) ตามแบบเมืองหลวงของจีนโบราณ เป็นเมืองหลวงสำคัญของจักรวรรดิญี่ปุ่น ยุคเริ่มแรกจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 (พุทธศตวรรษที่ 24) ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมามากกว่า 1,000 ปี เกียวโตแสดงให้เห็นพัฒนาการของสถาปัตยกรรมไม้แบบญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับศาสนา และศิลปะของสวนญี่ปุ่นซึ่งมีอิทธิพลการจัดภูมิทัศน์สวนทั่วโลก


3.สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเส้นทางจาริกแสวงบุญ แถบเทือกเขาคิอิ
      แถบเทือกเขาคิอิ (Kii Mountain Range) เทือกเขาที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และ เส้นทางจาริกแสวงบุญ โดยภายในนั้นประกอบไปด้วย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถึง 3 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็ล้วนได้รับความนิยมจากนักแสวงบุญที่ต่างมาจาริกแสวงบุญเป็นจำนวนมาก 
     เทือกเขาคิอิ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรคิอิ ของประเทศญี่ปุ่น สภาพทั่วไปของเทือกเขาคิอินั้นส่วนใหญ่จะเป็นป่าทึบหนาแน่นที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนา ชินโต และ พุทธ นอกจากนั้นภายในเทือกเขายังมีธารน้ำ แม่น้ำ และน้ำตกที่สวยงามมาก 
      สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเทือกเขาคิอินั้น ประกอบไปด้วย วัด และ ศาลเจ้า ที่มีมากมายหลายแห่ง ซึ่งบางแห่งก็มีความเก่าแก่ถึง 1,200 ปี แต่ละแห่งก็ล้วนมีผู้คนมาสักการะบูชาเป็นจำนวนมาก ในปี ค.ศ.2004 องค์การยูเนสโกได้รับการรับรองให้เทือกเขาคิอิเป็นมรดกโลก



4. ปราสาทฮิเมจิโจ ในจังหวัดเฮียวโกะ
           ปราสาทฮิเมจิ ( Himeji-jo, Himeji Castle) เป็นปราสาทญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิจังหวัดเฮียวโงะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1993 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่มีงดงามที่สุดในญี่ปุ่น และยังเป็นปราสาทที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า ปราสาทนกกระสาขาว ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง ในปัจจุบันปราสาทฮิเมจิได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นและมรดกโลก
          จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่งคือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงต่างๆในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบๆอาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย ระหว่างที่ศัตรูกำลังหลงทางอยู่นี้ก็จะถูกโจมตีจากข้างบนอาคารหลักได้โดยสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทฮิเมจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีในลักษณะนี้เลย ระบบการป้องกันต่างๆจึงยังไม่เคยถูกใช้งาน



5. อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะ 
             อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะ (Hiroshima Peace Memorial) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า โดมปรมาณู ตั้งอยู่ในเมืองฮิโระชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ในอาณาเขตของสวนสันติภาพฮิโระชิมะได้รับการก่อตั้งเป็นอนุสรณ์ในปีพ.ศ. 2539 และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีเดียวกัน
         อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะเป็นอาคารที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางการระเบิดมากที่สุดในบรรดาอาคารที่ยังตั้งทนต่อแรงระเบิด  ตัวอาคารได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพหลังจากถูกระเบิด ปัจจุบันได้กลายเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงพลังทำลายล้างของระเบิดปรมาณู และเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในสันติภาพและการต่อต้านการใช้อาวุธปรมาณู

เทศกาลในฤดูต่างๆ

            งานเทศกาลต่างๆ ของญี่ปุ่น เป็นโอกาสที่ผู้คนได้พบปะครั้งสำคัญในทุกภูมิภาคตลอดทั้ง 4 ฤดู ในแต่ละปีการฉลองเทศกาลต่างๆเผยให้เห็นความนึกคิดของชาวญี่ปุ่น ซึ่งต้นกำเนิดของงานเทศกาลจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ที่เตือนความทรงจำให้นึกถึงค่านิยมที่ยึดถือกันมานาน เช่น งานเทศกาล โอ-บง ในฤดูร้อน ผู้คนจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดและเคารพบรรพบุรุษ งานฉลองปีใหม่ในฤดูหนาว งานชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ และเทศกาลชมสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ทั้งหมดล้วนเป็นเทศกาลที่แสดงให้เห็นถึงความรักและชื่นชมในธรรมชาติของชาวญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน
           เทศกาลต่างๆ มีขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้ง 4 ซึ่งนำความบันเทิงมาสู่ชุมชนในทุกภาคตลอดปี มีรายละเอียดดังต่อไปนี้คือ


ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.)

ฤดูแห่งดอกไม้บาน
จากวันแรกในต้นมีนาคมที่ดอกเหมยบานกระทั่งวันสุดท้ายของพฤษภาคมเมื่อดอกซากุระทางตอนเหนือโรย ถือเป็นช่วงเวลาอันสดใสของธรรมชาติที่งดงาม จึงทำให้มีการฉลองเทศกาล ท่ามกลางธรรมชาติทั่วญี่ปุ่น  


เทศกาลในฤดูใบไม้ผลิ 

วันที่ 3 มี.ค.  เทศกาลฮินะ (Hina Matsuri)

เป็นเทศกาลวันเด็กผู้หญิง มีการตกแต่งตุ๊กตาที่แต่งกายแบบใน ราชสำนัก บนหิ้งเป็นชั้นๆ ในบ้านที่มีลูกสาวยังเล็กอยู่ 



วันที่ 13 มี.ค.
เทศกาลคะซูกะ (Kasuga Matsuri)
ของศาลเจ้าคะซูกะ ในเมืองนารา (Nara) มีการฟ้อนรำโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี


กลางมีนาคม
(15 วัน) มีการแข่งขันซูโม่ รอบที่ 2 ในโอซาก้า (Osaka)




วันที่ 1-30 เม.ย.
ระบำมิยะโกะ 
หรือระบำซากุระ ที่เกียวโตเป็นระบำญี่ปุ่นที่แสดงโดยนักฟ้อนรำที่เรียกว่า ไมโกะ (Maiko)


วันที่ 8 เม.ย.
เทศกาลถวายดอกไม้ (Hana Matsuri)
ตามวัดพุทธต่างๆ เพื่อระลึกถึงวันประสูติของพระพุทธเจ้า 


วันที่ 16-17 เม.ย.
เทศกาลยะโยอิ (Yayoi Matsuri)
ที่ศาลเจ้าฟุตะระซัน ในเมืองนิกโก้ (Nikko) มีขบวนแห่ตกแต่งสวยงาม

วันที่ 3-4 พ.ค.
เทศกาลฮะคะตะ โดนทะคุ (HakataDontaku) 
ในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) มีขบวนแห่เทพเจ้าบนหลังม้าตามตำนานญี่ปุ่น
เทศกาลแข่งว่าว 
ที่เมืองฮะมะมะทสุ (Hamamatsu) เป็นสนามแข่งว่าวที่มีการแข่งขันว่าวขนาดใหญ่ที่สุด 



วันที่ 5 พ.ค.
เทศกาลวันเด็กผู้ชาย 
มีการประดับธงปลาคาร์พหลากสีตามจำนวนลูกชายของแต่ละบ้าน ซึ่งโบกสะบัดโต้ลมฤดูใบไม้ผลิ อย่างสวยงามมาก




วันที่ 11 พ.ค.-15 ต.ค.
เทศกาลจับปลาโดยนกกาน้ำ 
ในแม่น้ำนะงะระ ที่เมืองเซคิในจังหวัดกิฟุ (Gifu)

วันที่ 15 พ.ค.
เทศกาลอะโออิ (Aoi Matsuri) 
ที่เมืองเกียวโต (Kyoto) มีขบวนแห่บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โบราณพร้อมขบวนรถที่ มีพรรณไม้ดอกหลากสีสัน

กลาง พ.ค.
(15 วัน) การแข่งซูโม่รอบที่ 3 ใน Tokyo 


วันที่ 17-18 พ.ค.
เทศกาลใหญ่ของศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu)
ที่เมืองนิกโก้ (Nikko) มีขบวนแห่นักรบกว่า 1,000 คน 



วันอาทิตย์ที่ 3 ของ พ.ค.
เทศกาลมิฟูเน่ (Mifune) 

บนแม่น้ำโออิในเกียวโต (Kyoto
เทศกาล Sanja ของศาลเจ้า Asakusa ในโตเกียว (Tokyoมีการแห่ศาลเจ้าใหญ่ๆ 3 ศาลเจ้า และศาลเจ้าย่อยๆ อีกนับร้อยกว่าศาลเจ้า 


ฤดูร้อน (มิ.ย.-ส.ค.)

ฤดูแห่งดอกไม้ไฟ 
ฤดูกาลแห่งดอกไม้ไฟที่อุดมสมบูรณ์ด้วย พืชพันธุ์พร้อมความเขียวขจีทั่วประเทศ ใบเขียวของซากุระ เมเปิ้ล โอ๊ค ในป่าเขา ตัดกับสีเขียวเข้มของต้นสนและต้นไผ่ที่โอนอ่อน ตามสายลมในตอนกลางวันและยามค่ำคืนบริเวณริมแม่น้ำในเมืองต่างๆ ทั่วทุกภาค เป็นเทศกาลที่ถือเป็นการรวมตัวของคนในชุมชนและผู้มาเยือน เพื่อร่วมชมเทศกาลดอกไม้ไฟ และชมระบำพื้นเมือง “Bon Odori” ที่มีสีสันและชีวิตชีวา




เสาร์ที่ 2 ของ มิ.ย.
เทศกาลม้า (Chagu-Chagu) 
ในเมืองโมริโอกะ (Morioka) มีขบวนแห่ม้าที่ประดับตกแต่งอย่างมีสีสัน


วันที่ 7 ก.ค.
เทศกาลดวงดาวแบบโบราณทานาบาตะ (Tanabata)
จัดขึ้นทั่วญี่ปุ่น แต่ที่เมืองเซนได (Sendai) ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุด มีการประดับโคม
กระดาษหลากสีสวยงาม 

 กลาง ก.ค.
(15 วัน) การแข่งขันซูโม่ รอบที่ 4 ที่นาโงย่า (Nagoya)

วันที่ 13-15 ก.ค. 
(หรือ ส.ค. ในหลายพื้นที่) เทศกาลบง (Bon Festival) จัดทั่วประเทศ เป็นพิธีทางศาสนา เพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมีการเต้นระบำโบราณ Bon Odori เพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณเหล่านั้น

วันที่ 16-17 ก.ค.
เทศกาลกิออน (Gion) 
เป็นเทศกาลย้อนยุคไปศตวรรษที่ 9 ที่ใหญ่ที่สุดในเกียวโต (Kyoto) มีขบวนแห่ชุดแต่งกายโบราณผ่านถนนสายหลักหลายสาย

วันที่ 24-25 ก.ค.
เทศกาล Tenjin
ของศาลเจ้า Tenmanguในโอซาก้า (Osaka) มีขบวนแห่ศาลเจ้าบนเรือเหนือลำน้ำ Dojima 

เทศกาล Nebuta
วันที่ 1-7 ส.ค.
เทศกาลเนบุตะ (Nebuta)
มีขบวนแห่โครงหุ่นประดับไฟ ในเมืองอะโอะโมะริ (Aomori) จัดช่วง 2-7 สิงหาคม ส่วนเมือง
ฮิโรสะกิ (Hirosaki) จัดช่วง 1-7 สิงหาคม 

วันที่ 3-6 ส.ค.

เทศกาลคันโต (Kanto) 
ที่เมืองอะกิตะ (Akita) มีขบวนแห่แผงโคมไฟที่แขวนบนราวไม้ไผ่ 

เทศกาล Hanagasa

วันที่ 5-7 ส.ค.
เทศกาลฮะนะงะซะ (Hanagasa) 
ในเมืองยะมะงะตะ (Yamagata) มีขบวนฟ้อนรำของชาวเมืองจำนวน 10,000 คน ทุกคนสวมชุดหมวกฟางติดดอกไม้เทียม ซึ่งเป็นชุดประจำเทศกาล 

วันที่ 12-15 ส.ค.
เทศกาลระบำ Awa 
ที่เมืองโทะกุชิมะ (Tokushima) มีการร้องรำทั้งกลางวันและกลางคืน 


ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย.-พ.ย.)

ฤดูแห่งใบไม้แดง
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงในเดือนกันยายน และตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่มีอากาศเย็นสบาย นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงแห่งสีสันเป็นสีเหลืองส้ม ขุนเขาต่างๆ ถูกแต่งแต้มให้มีสีสันราวกับพรม ส่วนทุ่งนาก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีทองนอกจากนี้ยังเป็นเวลาแห่งเทศกาลและกีฬาได้มาบรรจบกับกิจกรรมทางวัฒนธรรม หนึ่งในสัญลักษณ์ของฤดูนี้คือ งานเทศกาลดอกเบญจมาศ 

เทศกาลในฤดูใบไม้ร่วง

วันที่ 16 ก.ย.
งานแสดงขี่ม้ายิงธนู (Yabusame)
ที่ศาลเจ้า
ทซึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกู (Tsurugaoka Hachimanguในเมืองคะมะคุระ (Kamakura) 



กลาง ก.ย. 
(15 วัน) แข่งซูโม่รอบที่ 5 ในโตเกียว Tokyo

วันที่ 7-9 ต.ค.
เทศกาลคุนจิ (Kunchi) 
ของศาลเจ้าซูวะ (Suwa) ในเมืองนะงะซะกิ (Nagasaki) มีระบำมังกรจีนดั้งเดิม

เทศกาล Takayama

วันที่ 9-10 ต.ค.
เทศกาลทาคายาม่า (Takayama) 
แห่ศาลเจ้าฮาจิมันงุ (Hachimangu) ซึ่งมีขบวนรถสีสันต่างๆ มากมาย 

กลาง ต.ค.
เทศกาลเมือง Nagoya
มีขบวนพาเหรดซามูไรตามถนนในเมือง 


กลาง ต.ค.-พ.ย.
เทศกาลดอกเบญจมาศที่ศาลเจ้าเมจิ Meiji และวัด Asakusa ในโตเกียว (Tokyo)



วันที่ 17 ต.ค.
เทศกาลฤดูใบไม้ร่วงของศาลเจ้าโทโซงุ (Toshogu)
ที่เมืองนิกโก้ (Nikko) มีขบวนพาเหรดของนักรบโบราณในชุดเสื้อเกราะ 

วันที่ 22 ต.ค.

เทศกาล Jidai 
เป็นเทศกาลย้อนยุคของศาลเจ้า Heian ในเกียวโต (Kyoto) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 เทศกาลใหญ่ของ
เกียวโต 
เทศกาลไฟ 
จะมีขบวนแห่คบเพลิงมุ่งมายังศาลเจ้า Yukikurama ในเกียวโต (Kyoto
วันที่  2-4 พ.ย.
เทศกาลโอคุนจิ (Okunchi) 
ของศาลเจ้าคะระทสึ (Karatsu)ในเมืองซะงะ (Saga) มีขบวนแห่หุ่นปลา 



วันที่ 3 พ.ย.
ขบวนแห่เจ้าเมือง(Daimyo Gyoretsu)
ในเมืองฮะโกะเนะ (Hakone)

กลาง พ.ย.
(15 วัน) แข่งซูโม่รอบที่ 6 ในเมืองฟุกุโอะกะ (Fukuoka



วันที่ 15 พ.ย.
เทศกาลชิจิโงซัง (Shichi Go San) 
สำหรับเด็กอายุ 3, 5 และ 7 ปี จะไปศาลเจ้าเพื่อขอพรจากเทพเจ้าให้มีสุขภาพดีตลอดไป



วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลทั่วไป

พื้นที่ประเทศญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศหมู่เกาะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชีย มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 377,385 ตร.กม. มีเกาะรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,900 เกาะ เกาะใหญ่ที่สำคัญคือ ฮอนชู ฮอกไกโด คิวชิว และชิโกกุ แบ่งการปกครองเป็น 47 จังหวัด (Prefecture)กรุงโตเกียวตั้งอยู่บนเกาะฮอนชู  





มีประชากร 
จำนวนประชากรประมาณ 128 ล้านคน คนเกาหลีเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นมากที่สุดถึง 2 ใน 3 ของจำนวนชาวต่างชาติทั้งหมด 



ภาษาประจำชาติ 
ใช้ภาษาญี่ปุ่นในการติดต่อสื่อสาร ตัวอักษรในภาษาญี่ปุ่น สามารถจำแนกออกเป็นสองกลุ่ม คือ ตัวอักษรที่ใช้ ซึ่งได้แก่ ฮิระงะนะ และ คะตะคะนะ

ศาสนา 
ชินโต พุทธ คริสต์ 





ภูมิอากาศ มี 4 ฤดู 
ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.) อุณหภูมิเฉลี่ย (ในกรุงโตเกียว) 14.4 องศาเซลเซียส  คนญี่ปุ่นถือว่าเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้นใหม่ของสิ่งต่างๆ รวมทั้งเป็นช่วงเปิดเทอมของเด็กๆอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะพบเห็นชาวญี่ปุ่นออกมาเดินเล่นและมีกิจกรรมนอกบ้านกันมากมาย ทั้งนี้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงประมาณวันที่ 5 พฤษภาคม ยังถือเป็นช่วงสัปดาห์ทอง
( Golden Week ) ของชาวญี่ปุ่นที่จะได้พักผ่อนติดต่อกันยาวนาน
ฤดูร้อน (มิ.ย.-ส.ค.) อุณหภูมิเฉลี่ย 25.4 องศาเซลเซียส คนญี่ปุ่นชอบทำกิจกรรมอาบแดด แคมป์ปิ้งและการพักผ่อนที่ชายหาด คือกิจกรรมยอดนิยมในช่วงฤดูร้อน เป็นช่วงฤดูที่คนชราชอบมากที่สุด เพราะสิ่งที่มากับอากาศร้อนก็คือ เสียงร้องเพลงของเหล่าจิ้งหรีดและลมอ่อนๆที่ช่วยไม่ให้อากาศร้อนอบอ้าวเกินไป ในช่วงต้นฤดูยังคงมีฝนตกชุก
ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย.-พ.ย.) อุณหภูมิเฉลี่ย 18.2 องศาเซลเซียส เป็นฤดูที่แสนโรแมนติก ใบไม้สีเขียวสีแดงร่วงลงทับถมบริเวณทั่วไป และเป็นช่วงของการแข่งกีฬาระหว่างโรงเรียน ปลายฤดูใบไม้ร่วงก่อนถึงฤดูหนาว จะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ส่องแสงยาวนานที่สุด ในช่วงเดือนกันยายนมีพายุไต้ฝุ่นมาก
ฤดูหนาว ( ธ.ค.-ก.พ. ) อุณหภูมิเฉลี่ย 5.8 องศาเซลเซียส เป็นฤดูแห่งการเพลิดเพลินกับหิมะฤดูหนาวในญี่ปุ่นไม่ค่อยรุนแรง ยกเว้นทางเหนือสุด อุณหภูมิโดยปกติจะอบอุ่นด้วยแสงอาทิตย์และฟ้าสีคราม


     สกุลเงิน
     เยน (Yen)  100 เยน เท่ากับประมาณ 37 บาท 





การปกครอง
ประชาธิบไตยระบบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญโดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นองค์ประมุขและมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร รัฐสภาญี่ปุ่นเรียกว่า สภาไดเอ็ท (Diet) 


เวลา
เร็วกว่า G.M.T. 9 ชั่วโมง (เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง)

รหัสโทรศัพท์ 
โทรศัพท์จากต่างประเทศเข้าญี่ปุ่น กด 81+










อ้างอิง
http://www.bkkfly.com/N_japan.html