วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

แนะนำร้านอาหารญี่ปุ่น


        ในจำนวนอาหารชาติเอเชียด้วยกันที่เปิดบริการอยู่ในเมืองไทย นอกจากอาหารจีนแล้ว ก็น่าจะเป็น อาหารญี่ปุ่น” นี่เองที่ได้รับการตอบรับจากคนไทยมากที่สุด เห็นได้จากมีร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทบุฟเฟ่ต์เกิดขึ้นอย่างมากมาย บางร้านถึงกับต้องรอคิวหน้าร้านราวกับแจกฟรี ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาอาหารญี่ปุ่นราคาค่อนข้างแพง
        แต่เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมาร้านอาหารญี่ปุ่นเกิดขึ้นอย่างมากๆ ทำให้มีการแข่งขันหั่นราคากันแบบสุดๆ มียุคนี้เองที่บุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นกินจนพุงปลิ้น ราคา 200 กว่าบาท ราคาเท่านี้คงไม่ต้องคิดถึงรสชาติที่แท้จริงของอาหารญี่ปุ่น 

    
1.ฮานาย่ะ
ฮานาย่ะ หรือ ฮานาย่า (Hanaya) ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรกของเมืองไทย ขายมาถึง 68 ปี เป็นเมนูสไตล์เกาะคิวชูหรือทางใต้ของญี่ปุ่น รสเข้มข้นและออกหวานนิดๆ แต่ไม่มากจนเลี่ยน
      เมนูเด็ดของฮานาย่ามีหลายอย่าง โดยเฉพาะประเภทข้าวทั้งหลาย มีข้าวหอมมะลิผสมด้วย มีเบคอนปลาวาฬ ที่หากินยากในเมืองไทย ข้าวอัดปลาไหล หอยนางรมย่างมายองเนส และอย่าลืมของหวานทีเด็ดสุดๆ ก็คือพุดดิ้งชาเขียว ไปช้าหมดเพราะทำวันละ 15 ถ้วยเท่านั้น

ร้านฮานาย่าอยู่ที่ถนนสี่พระยา ติดกับบริษัทชาร์ปซึ่งอยู่ใกล้แยกเจริญกรุงด้วย สามารถเข้าทางเจริญกรุง 39 ได้ โทร.0-2233-3080 เปิดบริการทุกวัน 11.30-14.00 และ 17.00-22.00 . (หยุดทุกวันอาทิตย์ที่ 2 และ 4 ของเดือน)




2.ไทโกะ
ไทโกะ” (Taiko) แปลว่ากลองใบใหญ่ เป็นอีกร้านหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องรสชาติญี่ปุ่นแท้ๆ เจ้าของเป็นคนไทยที่อัธยาศัยดี ลูกค้า 99% เป็นคนญี่ปุ่น บางคนพาครอบครัวมากินทุกวัน การจะดูว่าร้านอาหารญี่ปุ่นร้านไหนรสชาติแท้และแน่นอน ให้ดูที่ลูกค้า ถ้ามีญี่ปุ่นกว่า 90% ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าเกือบทั้งร้านเป็นคนไทย ท่านจะไม่ได้ลิ้มลองเมนูญี่ปุ่นแท้ๆ
     เมนูเด็ดของร้านนี้ก็มีหลายอย่าง และแทบไม่ผิดหวังทุกอย่าง เพราะสั่งวัตถุดิบมาจากต่างประเทศ เช่น แปะก๊วยย่างเกลือ ปลากระเบนญี่ปุ่นย่าง ยำปลาทู ปลาดิบ และพิซซ่าญี่ปุ่น

ร้านไทโกะอยู่ชั้นล่างอาคารซิตี้รีสอร์ท กลางๆ ซอยสุขุมวิท 49 เข้าจากสุขุมวิทอยู่ทางซ้ายมือ เปิดบริการทุกวันเวลา 17.30-01.00 โทร.0-2662-5062-3
3.โอโตยะ

โอโตยะ” (Ootoya) แปลว่าประตูบานใหญ่ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากเน้นขาย อาหารญี่ปุ่นโฮมเมดแท้ๆ ราคายุติธรรมและคุ้มค่าที่สุดในเมืองไทยเกิดจากการร่วมลงทุนของเครือเบทาโก (ประเทศไทยโอโตยะ และซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น)
     เมนูมีให้เลือกมากกว่า 200 รายการ มีทั้งอาหารชุดและรายการเดี่ยว ราคาอาหารถ้าไปมื้อกลางวันกินเบาๆ 100 กว่าบาทก็อิ่ม เช่น ข้าวหน้าหมูกิมจิ ข้าวหน้าหมูย่างถ่ายราดซอส และ หมูผัดเปรี้ยวหวานผักรวมมิตรเสิร์ฟพร้อมข้าว เป็นต้น นอกนั้นก็มี ผัดไก่เปรี้ยวหวานผักรวมมิตรปลาแซลมอนย่างเตาถ่านปลาตาโตย่างปลาอาจิย่างถ่านแดดเดียว ปลาซาบะย่างถ่าน ปลาชิบาโฮกเกะย่างถ่าน เป็นต้น

โอโตยะร้านแรกและดั้งเดิมอยู่ที่ชั้น 2 อาคาร เอ อเวนิว (A Avenue) หัวมุมซอยทองหล่อ 15 พอดี เปิดบริการทุกวันเวลา 10.30-22.00 โทร.0-2712-6827 ปัจจุบันเปิดเป็นร้านแบบซื้อกลับบ้านที่เอ็มโพเรี่ยม ส่วนที่สยามพารากอนมีทั้งซื้อกลับบ้านและนั่งรับประทานในร้าน

4.อะคิโยชิ
อะคิโยชิ” (Akiyoshi) ร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทชาบูชาบู และสุกี้ญี่ปุ่น เป็นสุดยอดร้านหนึ่งในเมืองไทย ราคาไม่แพงและคุณภาพเกินราคา วัตถุดิบเยี่ยม น้ำจิ้มรสเด็ด
        เมนูอร่อยก็คือ ชาบูชาบู (Shabu Shabu) และสุกี้ญี่ปุ่น (Suki Yaki) ที่คิดราคาเป็นหัว หัวละ 300 กว่าบาท แต่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะมีให้เลือกทั้งเนื้อ หมูและไก่ โดยเฉพาะคนที่ชอบเนื้อมีให้เลือกหลายประเภท แล่ชิ้นบางเฉียบจุ่มลงไปในน้ำซุปแล้วเรียกขึ้น เนื้อจะหวานนุ่มเนียน จิ้มน้ำจิ้มรสเข้มข้น

ร้านอะคิโยชิอยู่ที่ชั้น 2 อาคารไทยสินสแควร์ (Thaisin Square) ระหว่างซอยสุขุมวิท 67-69 หรือเลยโรงพยาบาลสุขุมวิทไปประมาณ 1 ป้ายรถเมล์ ถ้าไปบีทีเอสก็ลงสถานีพระโขนง ลงฝั่งสุขุมวิทขาออก เดินย้อนกลับมาทางเอกมัยประมาณ 100 เมตร เปิดบริการจันทร์-ศุกร์ 11.30-14.00 และ 17.30-22.00 เสาร์-อาทิตย์-วันหยุด เปิด 11.00-22.00 โทร.0-2714-0791








อ้างอิง
http://eat.edtguide.com/

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข้อมูลการเดินทาง


การเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น
   ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยต้องขอรับการตรวจลงตรา (visa) ประเภทที่ถูกต้องก่อนเข้าญี่ปุ่น ยกเว้นผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ การเดินทางโดยเครื่องบินตรงจากประเทศไทยไปญี่ปุ่น (กรุงโตเกียว) ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง



หนังสือเดินทางและวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น
   หนังสือเดินทางมีอายุที่ใช้งานมากกว่า 6 เดือน ดูรายละเอียดการทำหนังสือเดินทางได้ที่ http://www.consular.go.th/ ขอวีซ่าจากสถานทูตญี่ปุ่นโปรดเตรียมเอกสารหลักฐานที่ระบุไว้ในการขอวีซ่า และกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วนเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ทราบผลวีซ่าอย่างเร็วใน 5 วันทำการหรือมากกว่า โปรดเผื่อเวลาในการยื่นวีซ่า ไม่ควรยื่นใกล้วันเดินทางอย่างกระชั้นชิด โปรดสอบถามได้ที่สถานทูตฯ ญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ หรือสถานกงสุลญี่ปุ่นประจำเชียงใหม่

ยื่นขอวีซ่าได้ที่
กรุงเทพฯ
ศูนย์รับยื่นขอวีซ่า JVAC (Japan Visa Application Center) 
การรับยื่นคำร้อง : วันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 น. ถึง 17:30 น. (ไม่มีพักกลางวัน)
การคืนหนังสือเดินทาง : วันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 น. ถึง 17:30 น. (ไม่มีพักกลางวัน) วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 08:30 น. ถึง 12:30 น.
ระยะเวลาดำเนินการ : อย่างน้อย 5 วันทำการนับจากวันที่รับยื่นคำร้อง (ยกเว้นวันเสาร์)
สถานที่ : ชั้น 15 ยูนิต C ตึกสีลมคอมเพล็กซ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทรศัพท์ : 02-632-1541-4
เวลาทำการ
วันจันทร์ - วันศุกร์ ระหว่างเวลา 8:30 - 17:30 น.
วันเสาร์ ระหว่างเวลา 8:30 - 12:30 น.
(คืนหนังสือเดินทางเท่านั้น)
ที่ทำการ: อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 15
(มีทางเชื่อมกับสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง)
เลขที่ 191 ถ.สีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทรศัพท์: 02-632-1541

เชียงใหม่
สถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่
ที่อยู่: อาคารแอร์พอร์ต บิสซิเนสปาร์ค ห้อง 104-107 ถนนมหิดล
ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50100
โทรศัพท์ : 053-203367
ฝ่ายวีซ่า: เบอร์โทรศัพท์ติดต่อภายใน 101 (ภาษาญี่ปุ่น), 102 (ภาษาไทย)
โทรสาร: 053-203373
เวลารับคำร้องขอวีซ่า เวลายื่นคำร้องขอวีซ่า : 08:30-12:00 เวลารับวีซ่า : 13:00-16:00
วันหยุด วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุด

การประกันภัยระหว่างการเดินทาง
     ท่านควรจะทำการประกันภัยระหว่างเดินทาง ก่อนออกเดินทางจากประเทศไทย กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุโดยทั่วๆ ไป จะครอบคลุมไปจนถึงทรัพย์สินส่วนตัวสูญหาย ค่ารักษาพยาบาลในกรณีเกิดบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย และประกันความเสี่ยงชนิดอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการเดินทาง

เสื้อผ้าที่ควรเตรียม
     ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง จะต้องเตรียมแจ๊กเก็ตและสะเว็ตเตอร์กันหนาว ฤดูร้อนให้เตรียมเสื้อผ้าบางเบา แขนสั้น ฤดูหนาว จำเป็นต้องมีเสื้อคลุมโอเวอร์โค๊ต ชุดผ้าขนสัตว์และแจ๊กเก็ตชนิดหนาเป็นพิเศษ ตลอดจนสะเว็ตเตอร์สำหรับฤดูหนาวไม่ค่อยจำเป็น ที่จะต้องนำเสื้อผ้าสำหรับใช้อย่างเป็นพิธีรีตองหรือพิธีการ จำพวกทักซิโดและเสื้อราตรี หากเกิดความจำเป็นก็มีร้านให้เช่า  ถุงเท้าสะอาดและสมบูรณ์เป็นสิ่งจำเป็น เพราะว่ามีบ่อยครั้งที่ท่านจำเป็นจะต้องถอดรองเท้าออก เช่นตามภัตตาคารญี่ปุ่นบางแห่ง หรือเมื่อก้าวเข้าบริเวณ ชานหน้าบ้านของชาวญี่ปุ่น ก่อนเข้าห้องรับแขก

การนำเข้าสิ่งของโดยปลอดภาษี
การนำเข้าสิ่งของโดยปลอดภาษี ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ประกอบอาชีพ สามารถนำเข้าไปในญี่ปุ่นได้โดยปลอดภาษี นอกจากนี้ ท่านยังสามารถนำเข้าโดยปลอดภาษี มีบุหรี่ 400 มวน ยาสูบ 500 กรัม หรือซิการ์ 100 มวน เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 3 ขวด น้ำหอม 2 ออนซ์ ตลอดจนของที่ระลึก ซึ่งตีราคารวมกันแล้วไม่ถึง 200,000 เยนหรือเทียบเท่า บุคคลที่อายุยังไม่ถึง 19 ปี และอายุเพียง 19 ปี ไม่อนุญาตให้นำเข้าบุหรี่หรือเครื่องดื่มมีอัลกอฮอล์ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จากเว็ปไซน์ http://www.narita-airport.jp/en/bf/step/arr.html#step5









อ้างอิง
http://www.biz.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=572463&Ntype=41
http://www.bkkfly.com/N_japan.html



แหล่งช้อปปิ้ง







1. ถนนทาเคชิตะ

      ถนนทาเคชิตะ สัญลักษณ์เมืองของวัยรุ่น ถนนนี้ยาวประมาณ 400 เมตรตั้งแต่หน้าสถานีรถไฟฮาราจูกุจนถึงถนนเมจิ

        มีร้านค้าตั้งอยู่เรียงราย ตั้งแต่ร้านขายของดารา ร้านเสื้อผ้ามือสอง ร้านแนวสตรีท ไปจนถึงร้านเครปชื่อดังเลยทีเดียว
ถนนทาเคชิตะได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนเมืองของวัยรุ่น และพลุกพล่านไปด้วยผู้คนเสมอไม่ว่าจะวันหยุดหรือวันธรรมดาก็ตาม



2. อาเมะโยโกะ

        หลักการของที่นี่คือ ของดีราคาถูกที่นี่มีร้านค้าเรียงรายกันแน่นขนัดกว่า 430 ร้าน ประกอบด้วยร้านขายอาหาร เครื่องสำอาง เสื้อผ้า เป็นต้น และเป็นที่รู้จักในนามของ อาเมะโยโกะคนที่มาช้อปปิ้งที่นี่จะสนุกสนานกับการสนทนากับคนขายไปด้วย ถือเป็นความเพลิดเพลินที่หาได้จากที่นี่เท่านั้นจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีสินค้าราคาไม่แพงจนเกินไป จึงเหมาะที่จะกว้านซื้อในคราวเดียวได้เลย



3. ชิบูย่า PARCO
        แหล่งกำเนิดแฟชั่นและศิลปะ ตึกแฟชั่นสัญลักษณ์ของชิบูย่า มีร้านค้าแบรนด์ดังของเหล่าดีไซน์เนอร์ที่แสดงในงานโตเกียวคอเลคชั่นซึ่งมีทั้งเสื้อผ้าแฟชั่นสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี

        ที่ Part 1 ชั้น 7-8 เป็นชั้นรวมร้านอาหาร ส่วนชั้น 9 มีโรงละคร PARCO สามารถเพลิดเพลินไปกับการแสดงชื่อดังได้ นอกจากนี้ที่ Part 3 ยังมีโรงภาพยนตร์อีกด้วย






4.Ginza
         แหล่งร้านค้าแบรนด์เนมและโชว์รูมของสินค้าไฮเทคโนโลยีที่รู้จักกันทั่วโลก ถนนกินซ่าโดริ(Ginza Dori) สองฟากถนนเต็มไปด้วยห้องเสื้อทันสมัย แกลเลอรี่ศิลปะและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น มัตสึยะ(Matsuya) ที่ใหญ่สุดในระแวก มิตสึโคชิ(Mitsukoshi) ซึ่งอยู่ในกินซ่า 4 โจเมะ(Ginza 4-chome) อันเป็นย่านของคนคลั่งไคล้การช้อปปิ้ง มีสินค้าให้เลือกซื้อมากมาย ทั้งแฟชั่นและของแปลกๆจึงเป็นแหล่งรวมวัยรุ่น










อ้างอิง
http://nishina.in.th/topten-shopping-in-tokyo/




บ่อน้ำพุร้อน

            สถานที่อาบน้ำพุร้อนมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแร่ธาตุในน้ำ ให้คุณสมบัติใน การรักษาต่างกัน รวมถึงสีและกลิ่น ส่วนมากน้ำพุร้อนจะมีธาตุกัมมะถัน บ่อน้ำพุร้อนมีทั้งในร่มและกลางแจ้ง แต่ละที่เล็กใหญ่ต่างกันไป บ่อกลางแจ้งบางแห่งตั้งอยู่ระหว่างภูเขา หุบเขา หรือเลียบฝั่งแม่น้ำ มีทั้งแบ่งชายหญิงและบ่อรวม




บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง ซาวาดะ โคเอ็น (Sawada-koen Rotemburo Onsen)
          บ่อน้ำพุร้อนที่จะชมทัศนียภาพของธรรมชาติ ในขณะที่คุณกำลังแช่น้ำร้อนบ่อน้ำพุร้อน ซาวาดะ โคเอ็น
ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง ซึ่งจะทำให้เพลิดเพลินไปกับการชมวิวของทะเลแปซิฟิค นอกจากนั้นแล้ว ที่นี่ยังเหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ตกดิน


สปาไวน์ ( Wine spa)
            สปาไวน์เป็นไวน์แดงจริง ตกแต่งด้วยขวดไวน์ใหญ่สูง 3.6 เมตร การลงแช่ในไวน์ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับร่างกาย กล่าวกันว่าพระนางคลีโอพัตราชื่นชอบในการอาบน้ำไวน์


สปาชาเขียว ( Green-tea spa )
         สปาชาเขียวมีส่วนผสมของชาเขียวอยู่จริง ตกแต่งด้วยกาน้ำชาขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น น้ำชานี้มาจากตีนเขาทันซะวะ และฮาโกเน่ ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นที่ที่มีอากาศเหมาะแก่การปลูกชา ชาที่ปลูกในแถบนั้นจะมีกลิ่นหอม และมีสารที่ช่วยป้องการการเกิดเนื้องอก เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี


สปากาแฟ (Coffee spa )
        สปากาแฟ เป็นสปาพิเศษที่หาได้แห่งเดียวที่ยูเนซัน เป็นกาแฟจริงที่นำมาทำให้เป็นน้ำพุร้อน กล่าวว่ากาแฟมีคุณสมบัติในการรักษาแผลเป็น และเพิ่มความงามให้กับผิวพรรณ และกลิ่นของกาแฟช่วยให้กระปรี้กระเปร่า


บ่อน้ำพุร้อน ชิราฮามะ (Onsen/Beach Combination Shirahama)
          เสน่ห์ในการผสมผสานระหว่างทะเลและบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้บ่อน้ำพุร้อน ชิราฮามะซึ่งตั้งอยู่ในเมืองชายหาด ทางตอนใต้ของเมืองคันไซ สามารถดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาสัมผัส รวมถึงบรรยากาศความงดงามของทัศนียภาพรอบ ๆ เมือง อีกทั้งยังมีบ่อน้ำพุร้อนที่เปิดให้บริการฟรีบริเวณหาด 




บ่อน้ำพุร้อน ริมแม่น้ำทาคารากาว่า (Takaragawa Onsen)
           ชาวญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้การแช่น้ำพุร้อน ขนานนามแหล่งน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดของประเทศ โดยคำว่า "ทาคารากาว่า" หมายถึง "แม่น้ำแห่งขุมสมบัติ" และด้วยความหลากหลายของพื้นหิน ที่ทอดขนานฝั่งแม่น้ำยาวกว่า 100 เมตร อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำ ที่จะช่วยรักษาความเหนื่อยล้า ความผิดปกติต่าง ๆ ทางระบบประสาทและระบบการย่อยอาหาร จึงทำให้ชื่อของ บ่อน้ำพุร้อนริมแม่น้ำทาคารากาว่า เป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาด











อ้างอิง
http://www.oak.in.th/post/1396102609/onsen-in-japan

มรดกโลกประเทศญี่ปุ่น

       มรดกโลกที่สำคัญของญี่ปุ่นหลายแห่ง ล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย และอากาศที่ต่างกันไปในสี่ฤดู อย่างเช่น สวนอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะ ซึ่งทำให้ทุกคนระลึกถึงความสูญเสียในอดีต ในบรรดามรดกโลกทางประวัติศาสตร์ มีโบราณสถานหลายแห่ง ที่ได้รับอิทธิพลมาจากเอกลักษณ์เฉพาะของชาวญี่ปุ่นที่เที่ยงตรง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และมีความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผู้มาเยือนเข้าใจลึกซึ้งถึงจิตใจของชาวญี่ปุ่น และรากฐานทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น




1. หมู่บ้านประวัติศาสตร์ ชิระคะวะโกะ และโกคะยะมะ ในจ.กิฟุ
         ศิลปะสไตล์แกซโซ ( Gassho ) ในหมู่บ้าน Shirakawa และ Gokayama ในเมือง Toyama หลังคาจะมีรูปแบบเฉพาะตัวถูกออกแบบโดยองค์กรยูเนสโก ( UNESO) ในปี 1995 สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัวนี้ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อการอยู่รอดในฤดูหนาวซึ่งจะมีหิมะปกคลุมหนามากและเหมาะสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ซึ่งเป็นวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของคนที่นี่



2.อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าเกียวโต (เมืองฟูจิ และโอทจึ)
          เกียวโตซึ่งสร้างใน คริสต์ศักราช 794 (พุทธศักราช 1337) ตามแบบเมืองหลวงของจีนโบราณ เป็นเมืองหลวงสำคัญของจักรวรรดิญี่ปุ่น ยุคเริ่มแรกจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 (พุทธศตวรรษที่ 24) ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมามากกว่า 1,000 ปี เกียวโตแสดงให้เห็นพัฒนาการของสถาปัตยกรรมไม้แบบญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับศาสนา และศิลปะของสวนญี่ปุ่นซึ่งมีอิทธิพลการจัดภูมิทัศน์สวนทั่วโลก


3.สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเส้นทางจาริกแสวงบุญ แถบเทือกเขาคิอิ
      แถบเทือกเขาคิอิ (Kii Mountain Range) เทือกเขาที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และ เส้นทางจาริกแสวงบุญ โดยภายในนั้นประกอบไปด้วย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถึง 3 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็ล้วนได้รับความนิยมจากนักแสวงบุญที่ต่างมาจาริกแสวงบุญเป็นจำนวนมาก 
     เทือกเขาคิอิ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรคิอิ ของประเทศญี่ปุ่น สภาพทั่วไปของเทือกเขาคิอินั้นส่วนใหญ่จะเป็นป่าทึบหนาแน่นที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนา ชินโต และ พุทธ นอกจากนั้นภายในเทือกเขายังมีธารน้ำ แม่น้ำ และน้ำตกที่สวยงามมาก 
      สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเทือกเขาคิอินั้น ประกอบไปด้วย วัด และ ศาลเจ้า ที่มีมากมายหลายแห่ง ซึ่งบางแห่งก็มีความเก่าแก่ถึง 1,200 ปี แต่ละแห่งก็ล้วนมีผู้คนมาสักการะบูชาเป็นจำนวนมาก ในปี ค.ศ.2004 องค์การยูเนสโกได้รับการรับรองให้เทือกเขาคิอิเป็นมรดกโลก



4. ปราสาทฮิเมจิโจ ในจังหวัดเฮียวโกะ
           ปราสาทฮิเมจิ ( Himeji-jo, Himeji Castle) เป็นปราสาทญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิจังหวัดเฮียวโงะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1993 ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่มีงดงามที่สุดในญี่ปุ่น และยังเป็นปราสาทที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นนิยมเรียกในชื่อว่า ปราสาทนกกระสาขาว ซึ่งมีที่มาจากพื้นผิวปราสาทภายนอกซึ่งมีสีขาวสว่าง ในปัจจุบันปราสาทฮิเมจิได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นและมรดกโลก
          จุดเด่นของปราสาทอย่างหนึ่งคือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงต่างๆในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงโดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบๆอาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย ระหว่างที่ศัตรูกำลังหลงทางอยู่นี้ก็จะถูกโจมตีจากข้างบนอาคารหลักได้โดยสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม ปราสาทฮิเมจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีในลักษณะนี้เลย ระบบการป้องกันต่างๆจึงยังไม่เคยถูกใช้งาน



5. อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะ 
             อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะ (Hiroshima Peace Memorial) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า โดมปรมาณู ตั้งอยู่ในเมืองฮิโระชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ในอาณาเขตของสวนสันติภาพฮิโระชิมะได้รับการก่อตั้งเป็นอนุสรณ์ในปีพ.ศ. 2539 และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีเดียวกัน
         อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะเป็นอาคารที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางการระเบิดมากที่สุดในบรรดาอาคารที่ยังตั้งทนต่อแรงระเบิด  ตัวอาคารได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพหลังจากถูกระเบิด ปัจจุบันได้กลายเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงพลังทำลายล้างของระเบิดปรมาณู และเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในสันติภาพและการต่อต้านการใช้อาวุธปรมาณู

เทศกาลในฤดูต่างๆ

            งานเทศกาลต่างๆ ของญี่ปุ่น เป็นโอกาสที่ผู้คนได้พบปะครั้งสำคัญในทุกภูมิภาคตลอดทั้ง 4 ฤดู ในแต่ละปีการฉลองเทศกาลต่างๆเผยให้เห็นความนึกคิดของชาวญี่ปุ่น ซึ่งต้นกำเนิดของงานเทศกาลจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ที่เตือนความทรงจำให้นึกถึงค่านิยมที่ยึดถือกันมานาน เช่น งานเทศกาล โอ-บง ในฤดูร้อน ผู้คนจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดและเคารพบรรพบุรุษ งานฉลองปีใหม่ในฤดูหนาว งานชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ และเทศกาลชมสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ทั้งหมดล้วนเป็นเทศกาลที่แสดงให้เห็นถึงความรักและชื่นชมในธรรมชาติของชาวญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน
           เทศกาลต่างๆ มีขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้ง 4 ซึ่งนำความบันเทิงมาสู่ชุมชนในทุกภาคตลอดปี มีรายละเอียดดังต่อไปนี้คือ


ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.)

ฤดูแห่งดอกไม้บาน
จากวันแรกในต้นมีนาคมที่ดอกเหมยบานกระทั่งวันสุดท้ายของพฤษภาคมเมื่อดอกซากุระทางตอนเหนือโรย ถือเป็นช่วงเวลาอันสดใสของธรรมชาติที่งดงาม จึงทำให้มีการฉลองเทศกาล ท่ามกลางธรรมชาติทั่วญี่ปุ่น  


เทศกาลในฤดูใบไม้ผลิ 

วันที่ 3 มี.ค.  เทศกาลฮินะ (Hina Matsuri)

เป็นเทศกาลวันเด็กผู้หญิง มีการตกแต่งตุ๊กตาที่แต่งกายแบบใน ราชสำนัก บนหิ้งเป็นชั้นๆ ในบ้านที่มีลูกสาวยังเล็กอยู่ 



วันที่ 13 มี.ค.
เทศกาลคะซูกะ (Kasuga Matsuri)
ของศาลเจ้าคะซูกะ ในเมืองนารา (Nara) มีการฟ้อนรำโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี


กลางมีนาคม
(15 วัน) มีการแข่งขันซูโม่ รอบที่ 2 ในโอซาก้า (Osaka)




วันที่ 1-30 เม.ย.
ระบำมิยะโกะ 
หรือระบำซากุระ ที่เกียวโตเป็นระบำญี่ปุ่นที่แสดงโดยนักฟ้อนรำที่เรียกว่า ไมโกะ (Maiko)


วันที่ 8 เม.ย.
เทศกาลถวายดอกไม้ (Hana Matsuri)
ตามวัดพุทธต่างๆ เพื่อระลึกถึงวันประสูติของพระพุทธเจ้า 


วันที่ 16-17 เม.ย.
เทศกาลยะโยอิ (Yayoi Matsuri)
ที่ศาลเจ้าฟุตะระซัน ในเมืองนิกโก้ (Nikko) มีขบวนแห่ตกแต่งสวยงาม

วันที่ 3-4 พ.ค.
เทศกาลฮะคะตะ โดนทะคุ (HakataDontaku) 
ในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) มีขบวนแห่เทพเจ้าบนหลังม้าตามตำนานญี่ปุ่น
เทศกาลแข่งว่าว 
ที่เมืองฮะมะมะทสุ (Hamamatsu) เป็นสนามแข่งว่าวที่มีการแข่งขันว่าวขนาดใหญ่ที่สุด 



วันที่ 5 พ.ค.
เทศกาลวันเด็กผู้ชาย 
มีการประดับธงปลาคาร์พหลากสีตามจำนวนลูกชายของแต่ละบ้าน ซึ่งโบกสะบัดโต้ลมฤดูใบไม้ผลิ อย่างสวยงามมาก




วันที่ 11 พ.ค.-15 ต.ค.
เทศกาลจับปลาโดยนกกาน้ำ 
ในแม่น้ำนะงะระ ที่เมืองเซคิในจังหวัดกิฟุ (Gifu)

วันที่ 15 พ.ค.
เทศกาลอะโออิ (Aoi Matsuri) 
ที่เมืองเกียวโต (Kyoto) มีขบวนแห่บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์โบราณพร้อมขบวนรถที่ มีพรรณไม้ดอกหลากสีสัน

กลาง พ.ค.
(15 วัน) การแข่งซูโม่รอบที่ 3 ใน Tokyo 


วันที่ 17-18 พ.ค.
เทศกาลใหญ่ของศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu)
ที่เมืองนิกโก้ (Nikko) มีขบวนแห่นักรบกว่า 1,000 คน 



วันอาทิตย์ที่ 3 ของ พ.ค.
เทศกาลมิฟูเน่ (Mifune) 

บนแม่น้ำโออิในเกียวโต (Kyoto
เทศกาล Sanja ของศาลเจ้า Asakusa ในโตเกียว (Tokyoมีการแห่ศาลเจ้าใหญ่ๆ 3 ศาลเจ้า และศาลเจ้าย่อยๆ อีกนับร้อยกว่าศาลเจ้า 


ฤดูร้อน (มิ.ย.-ส.ค.)

ฤดูแห่งดอกไม้ไฟ 
ฤดูกาลแห่งดอกไม้ไฟที่อุดมสมบูรณ์ด้วย พืชพันธุ์พร้อมความเขียวขจีทั่วประเทศ ใบเขียวของซากุระ เมเปิ้ล โอ๊ค ในป่าเขา ตัดกับสีเขียวเข้มของต้นสนและต้นไผ่ที่โอนอ่อน ตามสายลมในตอนกลางวันและยามค่ำคืนบริเวณริมแม่น้ำในเมืองต่างๆ ทั่วทุกภาค เป็นเทศกาลที่ถือเป็นการรวมตัวของคนในชุมชนและผู้มาเยือน เพื่อร่วมชมเทศกาลดอกไม้ไฟ และชมระบำพื้นเมือง “Bon Odori” ที่มีสีสันและชีวิตชีวา




เสาร์ที่ 2 ของ มิ.ย.
เทศกาลม้า (Chagu-Chagu) 
ในเมืองโมริโอกะ (Morioka) มีขบวนแห่ม้าที่ประดับตกแต่งอย่างมีสีสัน


วันที่ 7 ก.ค.
เทศกาลดวงดาวแบบโบราณทานาบาตะ (Tanabata)
จัดขึ้นทั่วญี่ปุ่น แต่ที่เมืองเซนได (Sendai) ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุด มีการประดับโคม
กระดาษหลากสีสวยงาม 

 กลาง ก.ค.
(15 วัน) การแข่งขันซูโม่ รอบที่ 4 ที่นาโงย่า (Nagoya)

วันที่ 13-15 ก.ค. 
(หรือ ส.ค. ในหลายพื้นที่) เทศกาลบง (Bon Festival) จัดทั่วประเทศ เป็นพิธีทางศาสนา เพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมีการเต้นระบำโบราณ Bon Odori เพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณเหล่านั้น

วันที่ 16-17 ก.ค.
เทศกาลกิออน (Gion) 
เป็นเทศกาลย้อนยุคไปศตวรรษที่ 9 ที่ใหญ่ที่สุดในเกียวโต (Kyoto) มีขบวนแห่ชุดแต่งกายโบราณผ่านถนนสายหลักหลายสาย

วันที่ 24-25 ก.ค.
เทศกาล Tenjin
ของศาลเจ้า Tenmanguในโอซาก้า (Osaka) มีขบวนแห่ศาลเจ้าบนเรือเหนือลำน้ำ Dojima 

เทศกาล Nebuta
วันที่ 1-7 ส.ค.
เทศกาลเนบุตะ (Nebuta)
มีขบวนแห่โครงหุ่นประดับไฟ ในเมืองอะโอะโมะริ (Aomori) จัดช่วง 2-7 สิงหาคม ส่วนเมือง
ฮิโรสะกิ (Hirosaki) จัดช่วง 1-7 สิงหาคม 

วันที่ 3-6 ส.ค.

เทศกาลคันโต (Kanto) 
ที่เมืองอะกิตะ (Akita) มีขบวนแห่แผงโคมไฟที่แขวนบนราวไม้ไผ่ 

เทศกาล Hanagasa

วันที่ 5-7 ส.ค.
เทศกาลฮะนะงะซะ (Hanagasa) 
ในเมืองยะมะงะตะ (Yamagata) มีขบวนฟ้อนรำของชาวเมืองจำนวน 10,000 คน ทุกคนสวมชุดหมวกฟางติดดอกไม้เทียม ซึ่งเป็นชุดประจำเทศกาล 

วันที่ 12-15 ส.ค.
เทศกาลระบำ Awa 
ที่เมืองโทะกุชิมะ (Tokushima) มีการร้องรำทั้งกลางวันและกลางคืน 


ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย.-พ.ย.)

ฤดูแห่งใบไม้แดง
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงในเดือนกันยายน และตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่มีอากาศเย็นสบาย นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงแห่งสีสันเป็นสีเหลืองส้ม ขุนเขาต่างๆ ถูกแต่งแต้มให้มีสีสันราวกับพรม ส่วนทุ่งนาก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีทองนอกจากนี้ยังเป็นเวลาแห่งเทศกาลและกีฬาได้มาบรรจบกับกิจกรรมทางวัฒนธรรม หนึ่งในสัญลักษณ์ของฤดูนี้คือ งานเทศกาลดอกเบญจมาศ 

เทศกาลในฤดูใบไม้ร่วง

วันที่ 16 ก.ย.
งานแสดงขี่ม้ายิงธนู (Yabusame)
ที่ศาลเจ้า
ทซึรุงะโอะกะ ฮะจิมังกู (Tsurugaoka Hachimanguในเมืองคะมะคุระ (Kamakura) 



กลาง ก.ย. 
(15 วัน) แข่งซูโม่รอบที่ 5 ในโตเกียว Tokyo

วันที่ 7-9 ต.ค.
เทศกาลคุนจิ (Kunchi) 
ของศาลเจ้าซูวะ (Suwa) ในเมืองนะงะซะกิ (Nagasaki) มีระบำมังกรจีนดั้งเดิม

เทศกาล Takayama

วันที่ 9-10 ต.ค.
เทศกาลทาคายาม่า (Takayama) 
แห่ศาลเจ้าฮาจิมันงุ (Hachimangu) ซึ่งมีขบวนรถสีสันต่างๆ มากมาย 

กลาง ต.ค.
เทศกาลเมือง Nagoya
มีขบวนพาเหรดซามูไรตามถนนในเมือง 


กลาง ต.ค.-พ.ย.
เทศกาลดอกเบญจมาศที่ศาลเจ้าเมจิ Meiji และวัด Asakusa ในโตเกียว (Tokyo)



วันที่ 17 ต.ค.
เทศกาลฤดูใบไม้ร่วงของศาลเจ้าโทโซงุ (Toshogu)
ที่เมืองนิกโก้ (Nikko) มีขบวนพาเหรดของนักรบโบราณในชุดเสื้อเกราะ 

วันที่ 22 ต.ค.

เทศกาล Jidai 
เป็นเทศกาลย้อนยุคของศาลเจ้า Heian ในเกียวโต (Kyoto) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 เทศกาลใหญ่ของ
เกียวโต 
เทศกาลไฟ 
จะมีขบวนแห่คบเพลิงมุ่งมายังศาลเจ้า Yukikurama ในเกียวโต (Kyoto
วันที่  2-4 พ.ย.
เทศกาลโอคุนจิ (Okunchi) 
ของศาลเจ้าคะระทสึ (Karatsu)ในเมืองซะงะ (Saga) มีขบวนแห่หุ่นปลา 



วันที่ 3 พ.ย.
ขบวนแห่เจ้าเมือง(Daimyo Gyoretsu)
ในเมืองฮะโกะเนะ (Hakone)

กลาง พ.ย.
(15 วัน) แข่งซูโม่รอบที่ 6 ในเมืองฟุกุโอะกะ (Fukuoka



วันที่ 15 พ.ย.
เทศกาลชิจิโงซัง (Shichi Go San) 
สำหรับเด็กอายุ 3, 5 และ 7 ปี จะไปศาลเจ้าเพื่อขอพรจากเทพเจ้าให้มีสุขภาพดีตลอดไป